บทความ

กำลังแสดงโพสต์ที่มีป้ายกำกับ สุขภาพ

ฝุ่น pm 2.5 คืออะไร?

รูปภาพ
ฝุ่น PM 2.5 คืออะไร ช่วงหลายวันที่ผ่านมา  ฝุ่น PM 2.5  กลับมาเป็นกระแสอีกครั้ง หลังจากที่เคยเป็นกระแสในช่วงต้นปี 2018 แต่จริงๆ  ฝุ่น PM 2.5 มีมานานแล้ว และยังคงมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยดูจากสถิติในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ฝุ่น PM2.5 คือ ฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน หรือเทียบแล้วเล็กกว่า 3% ของเส้นผ่านศูนย์กลางเส้นผมของมนุษย์ ฝุ่นขนาดเล็กจิ๋วนี้ เกิดขึ้นจากหลายสาเหตุรวมกัน อาทิเช่น การเผาไหม้ของเครื่องยนต์ การก่อสร้าง ซึ่งเป็น 2 สาเหตุหลักของมลพิษทางอากาศในเมืองใหญ่ ฝุ่น PM2.5 เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เพราะสามารถเดินทางผ่านทางเดินหายใจสู่ปอดและกระแสเลือดได้ง่าย เพิ่มโอกาสของโรคหัวใจและโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ และต้องป้องกันด้วยการสวมใส่หน้ากากอนามัยที่ได้มาตรฐานป้องกันฝุ่นขนาดเล็กโดยเฉพาะ ผลกระทบฝุ่น PM 2.5 ผลกระทบต่างๆ ที่ร่างกายจะได้รับเมื่อหายใจเข้ารับฝุ่นละออง PM2.5 เข้าไป อาจจะไม่ได้ส่งผลได้ทันตาเห็นทันที แต่ก่อให้เกิดเป็นโรคต่างๆ ตามมาได้อย่างไม่คาดคิดเลยทีเดียว ซึ่งจะมีอะไรบ้างนั้น เรามาดูกันเลย ระคายเคือง/แสบจมูก  ในเบื้องต้นเมื่อเราหายใจเข้าไป ร่างก

วันเด็ก 2562 ต้องระวังโรคระบาด

รูปภาพ
Epidemics in children ใกล้จะถึงวันเด็กแล้วสำหรับ ในเดือนมกราคมนี้ และแน่นอนว่าผู้ปกครองหลายๆท่าน คงจะพาลูกหลานของท่าน ไปร่วมงานวันเด็กที่จะจัดขึ้นในวันที่ 12 มกราคม 2562 นี้ซึ่งแน่นอนว่า ในงานมีผู้คนมากมาย และเด็กๆที่ยังมีภูมิต้านทานต่ำ ทำให้สามารถอาจติดเชื้อโรค จากสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน วันนี้เราจึงมานำเสนอ " โรคระบาดหรือโรคติดต่อง่ายสำหรับเด็ก " และวิธีรับมือกับโรคต่างๆ ไข้หวัดใหญ่ เพราะอากาศที่เย็นลงและความชื้นจะทำให้โรคในกลุ่มไวรัสที่เกิดกับระบบทางเดินหายใจนั้นเจริญเติบโตได้ดีกว่าปกติ  ซึ่งเด็กอายุน้อยกว่า 5 ขวบ และผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องจะมีโอกาสเสี่ยงและมีอาการรุนแรงมากกว่ากลุ่มอื่น อาการของโรคไข้หวัดใหญ่ คัดจมูก  มีน้ำมูกใส ๆ   จาม  คอแห้ง  เจ็บคอ ไอแห้ง  ไอมีเสมหะ เป็นไข้  อ่อนเพลีย  ปวดศีรษะ หากอาการรุนแรงอาจมีโรคแทรกซ้อนที่มากับไข้หวัด คือ ไซนัสอักเสบ หลอดลมอักเสบ  หรือ ปอดอักเสบได้ การป้องกัน ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ควรฉีดประมาณ 1-2 เดือนก่อนฤดูกาลระบาดของโรคทุกๆ ปี และสามารถฉีดได

โรคเบาหวานมีกี่ประเภท ?

รูปภาพ
โรคเบาหวาน หลาย ๆ คนมักเข้าใจว่าโรคเบาหวานนั้นมีเพียง 2 ชนิด แต่ตอนนี้คณะนักวิจัยจากสวีเดนและฟินแลนด์พบว่า โรคเบาหวานซึ่งคนจำนวนมากเป็นกันอยู่นั้น ไม่ได้มีเพียง 2 ชนิดตามที่เคยเข้าใจกันมา แต่สามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มอาการย่อยที่แตกต่างกันไปได้อีก ทำให้โรคเบาหวานในปัจจุบันมีถึง 5 ชนิด ซึ่งแต่ละชนิดจะมีวิธีการรักษาที่แตกต่างกัน คณะนักวิจัยจากศูนย์โรคเบาหวานมหาวิทยาลัยลุนด์ของสวีเดน และสถาบันเพื่อการแพทย์ระดับโมเลกุลของฟินแลนด์ ได้วิเคราะห์ตัวอย่างเลือดของผู้ป่วยเบาหวาน 14,775 คนในแถบสแกนดิเนเวีย และพบว่าสามารถแบ่งกลุ่มผู้ป่วยตามอาการที่เป็นอยู่รวมทั้งลักษณะทางเคมีในเลือดได้อย่างน้อย 5 กลุ่ม ซึ่งมีความซับซ้อนกว่าการแบ่งผู้ป่วยโรคเบาหวานออกเป็นชนิดที่ 1 ซึ่งแพ้ภูมิคุ้มกันตนเอง และชนิดที่ 2 ซึ่งเป็นเบาหวานเพราะความอ้วน แบบที่ทำกันมาแต่เดิมอย่างมาก และ มีการตีพิมพ์ผลการศึกษาดังกล่าวในวารสารการแพทย์ Lancet Diabetes and Endocrinology โดยระบุถึง โรคเบาหวาน 5 ชนิดไว้ดังนี้ ชนิดที่ 1  เป็นโรคเบาหวานที่เกิดจากการแพ้ภูมิคุ้มกันในร่างกายตนเองอย่างรุนแรง ผู้ป่วยมักเริ่มมีอาการตั้งแต่อายุยัง

แก้อาการปวดหลัง - นั่งนานๆแล้วปวดหลัง

รูปภาพ
ออฟฟิศซินโดรม กายภาพบำบัดมีบทบาทสำคัญในการรักษากลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรมที่เกี่ยวข้องกับระบบกล้ามเนื้อและกระดูกตั้งแต่ระยะเริ่มแรกจนถึงกรณีที่มีอาการมากจนรบกวนชีวิตประจำวันหรือก่อให้เกิดความบกพร่องทางการเคลื่อนไหว เพื่อฟื้นฟูให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ  นักกายภาพบำบัดยังมีหน้าที่ในการเสริมสร้างความรู้และความเข้าใจเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยกลับมามีอาการเหล่านี้อีก โดยนักกายภาพบำบัดจะประเมินโครงสร้างร่างกายพร้อมปรับแก้โครงสร้างร่างกายให้เกิดความสมดุลและปกติ รวมถึงให้คำแนะนำในการปรับเปลี่ยนท่าทางระหว่างการทำงาน การปรับสภาพแวดล้อมของเครื่องมือและสิ่งแวดล้อมในที่ทำงานให้เหมาะสมในแต่ละบุคคล แนะนำการยืดกล้ามเนื้อเพื่อผ่อนคลายในระหว่างการทำงาน รวมทั้งส่งเสริมให้มีการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องเพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรง พร้อมรับสภาวะการทำงานที่อาจไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงของโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับออฟฟิศซินโดรมด้วย สาเหตุของการเกิดออฟฟิศซินโดรม  การนั่งหน้าคอมพิวเตอร์หรือทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยท่าทางซ้ำๆ ต่อเนื่องเป็นเวลานานมากกว่า 6 ชั่วโม

Active Recovery คืออะไร?

รูปภาพ
Active Recovery คืออะไร ต่างกับการพัก (Rest) อย่างไร การทำ แอคทีฟ รีโคเวอรี่ จะต่างจากการพักผ่อนร่างกายที่ไม่มีการประกอบกิจกรรมเสียเหงื่ออะไรเลย โดยจะเป็นการออกกำลังกายเบาๆ มาก (An easier workout) มีความเข้มข้นน้อยและกินเวลาไม่นาน อย่างเช่น การเดิน Brisk walk ในช่วงวันเว้นการฝึก (ช่วง Day off หรือมองให้ชัดยิ่งขึ้น สำหรับนักวิ่งที่ฝึกฝนเพื่อไปมาราธอน การทำ แอคทีฟ รีโคเวอรี่ อาจจะเป็นการเดินเร็วหรือจ๊อกกิ้งช้าๆ ประโยชน์ของการทำ Active recovery มีอะไรบ้าง การทำ แอคทีฟ รีโคเวอรี่ จะช่วยกระตุ้นระบบเมตาบอลิซึมให้เร่งการฟื้นฟูร่างกายให้เร็วขึ้น ช่วยลดความตรึงเครียดของจิตใจและกล้ามเนื้อ ให้เลือดได้ไหลเวียนนำของเสียและอาหารมาเลี้ยงเซลล์ การฝึกเบาๆ จะช่วยเบริ์นไขมันเพิ่มขึ้นอีกนิดในวันพักสบายๆ และนักวิ่งทั่วไปใช้ทดสอบร่างกายหลังจากพักผ่อนร่างกายจากมาราธอนมาหลายวัน เพื่อดูว่าร่างกายกลับมาสู่สภาพพร้อมที่จะกลับสู่แผนการฝึกต่อไปหรือไม่ 5 วิธี แนะนำ 1. เดิน การเดินเป็นการทำแอคทีฟ รีโคเวอรี่ ที่ง่ายที่สุดและเสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บน้อย ช่วยเบริ์นแคลอรี่และลดอาการเครียดของจิตใจได้ดี ปริมาณการเ

วิธีควบคุมอาหารหลังออกกำลังกาย

รูปภาพ
how to stop overeating after a workout หลายคนคิดเข้าข้างตัวเองเสมอว่า การออกกำลังกายที่ผ่านมาได้เผาผลาญพลังงานไปเยอะแล้ว ยังมีห้องว่างให้ร่างกายรับแคลอรี่ได้อีก กินไปเถอะเดียวก็วิ่งเอาออกได้….ทำให้เรามักจะรับประทานอาหารหลังการออกกำลังกาย (รับแคลอรี่) มากกว่าจำนวนที่เราต้องใช้ในการเสริมสร้างและซ่อมแซมกล้ามเนื้อต่างๆ จำนวนของเหลือก็กลายเป็นไขมันสะสมทั่วร่างกาย ที่เห็นชัดที่สุดก็คงเป็นเจ้าห่วงยางรอบเอวที่น่ารัก เรามาดู 5 วิธีเตือนสติตัวเอง ในการควบคุมความหิวหลังการวิ่งกัน 1. ศึกษาแคลอรี่ในอาหารให้ดี  ดูจำนวนแคลอรี่ให้ดี ในโปรแกรมแอพออกกำลังกายต่างๆ จะมีค่าประมาณแคลอรี่ที่ใช้ไป เมื่อจบการวิ่งแล้ว เราจะได้ค่าประมาณจำนวนแคลอรี่ที่เผาผลาญไป เช่น วิ่ง 10K จะใช้พลังงานที่ 700-1000 kcal  ทั้งนี้ค่าแคลอรี่ที่ใช้ไปจะขึ้นอยู่กับเพศ อายุ ลักษณะร่างกาย และแต่ละคนก็มีความแตกต่างกันไป เมื่อดูจำนวนแคลอรี่ที่ใช้ไปแล้วก็ต้องรู้จักนำมาเปรียบเทียบกับจำนวนแคลอรี่ที่อาหารแต่ละมื้อให้กับเราด้วย เพราะอาหารแต่ละประเภทมีจำนวนแคลอรี่ต่างกัน อย่างเช่น ข้าวขาหมูให้พลังงาน 690 kcal ข้าวไข่เจียว 445 kcal และ

หลักการกินอาหารที่ดี ด้วยกฎ 80/20

รูปภาพ
หลายคนคงเคยได้ยินกฎการกินสู่หนทางรูปร่างที่ดีอย่างกฏ 80/20 มาบ้างแล้ว ที่บอกไว้ว่า 80% สำหรับการกินแบบเคร่งครัด ส่วน 20 % ที่เหลือนั้นสำหรับตามใจตัวเอง ซึ่งเป็นกฎง่ายๆ แต่ยังมีหลายคนที่ยังมีความเข้าใจผิดๆ และยังใช้กฎนี้อย่างไม่ถูกต้อง โพสนี้เราขอหยิบยกเอาเรื่องกฎ 80/20 มาขยายความใหม่ เพราะกฎนี้ไม่ใช่หนทางสู่รูปร่างที่ดีเพียงเท่านั้น แต่ยังถือเป็นไลฟ์สไตล์สำหรับทุกคนที่อยากรูปร่างดีไปพร้อมสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืนด้วย ในคนที่ดูแลเรื่องรูปร่างของตัวเองหลายคนที่ใช้วิธีการจำกัดอาหารแบบไม่ถูกต้อง การนำเอากฎ 80/20 มาปรับใช้นั้นเป็นทางออกที่ดีสำหรับดูแลรูปร่างอย่างสมดุลและมีความพอดี เพราะกฎนี้จะทำให้คุณสนุกกับการรับประทานอาหารแบบไม่กดดันตัวเอง แถมยังมีที่ว่างให้ได้ชิมของอร่อยกับเพื่อนๆ ได้อีกด้วย 80% แรกคือการโฟกัสไปที่การรับประทานอาหารคลีน ส่วน 20% ที่เหลือคือการรับประทานตามใจล้วนๆ อย่ากังวลกับเรื่องตัวเลข ลองดูตัวอย่างที่เข้าใจง่ายๆ เช่น หากคุณรับประทานอาหารวันละ 3 มื้อ ในหนึ่งสัปดาห์ ให้ 3 มื้อ 1 วันของคุณเป็น cheat meals ที่คุณจะได้อิ่มอร่อยกับของที่ชอบ แต่หากคุณรับประทานมื้อเล็กๆ 5 มื

โทษของการดื่มกาแฟ

รูปภาพ
Disadvantages of Coffee ในร้านกาแฟมีการโปรโมทสรรพคุณของกับกาแฟไว้มากมาย ซึ่งคงไม่มีร้านกาแฟร้านไหนนำเสนอถึงโทษของกาแฟ ถึงแม้จะมีวีธีที่ดื่มกาแฟให้มีประโยชน์ที่สุด และโทษน้อยที่สุด แต่ก็ยังมีโทษของกาแฟอยู่วันนี้เราจึงมาบอกเล่าถึงกับโทษของการดื่มกาแฟที่ความนิยมอยู่ทั่วโลกกัน หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ เต้นไม่เป็นจังหวะ เนื่องจากกาเฟอีนมีฤทธิ์กระตุ้นกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น นานถึง 12 ชั่วโมง คนที่มีภาวะเครียด ร่างกายจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอีก นอนไม่หลับ เพราะคาเฟอีนปริมาณหนึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นประสาท ทำให้นอนหลับยาก หลับไม่สนิท ร่างกายไม่สามารถพักผ่อนได้เต็มที่ เร่งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร กาเฟอีนมีฤทธิ์ไปกระตุ้นการหลั่งกรดเพปซิน (pepsin) และแกสตริน (gastrin) อาจทำให้โรคแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้รุนแรงขึ้นได้ มีสารเสพติด ผู้ที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ หากหยุดดื่มกะทันหันจะทำให้มีอาการปวดศีรษะ กระสับกระส่าย ร่างกายอ่อนเพลีย และง่วงนอน เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด ความเสี่ยงในการเป็นโรคกระดูกพรุน  เนื่องจากกาแฟมีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ โดยไปลดการดูดกลับของโซเด

5 เหตุผลที่ไม่ควรนอนดึก

รูปภาพ
การนอนดึกถือว่าเป็นของคู่กันกับคนสมัยนี้ไปแล้ว แต่รู้หรือไม่การนอนดึกนี่แหละคือตัวการที่จะทำให้คุณเสียสุขภาพ และไม่ใช่แค่เสียสุขภาพอย่างเดียวแต่คุณอาจโอกาสในหน้าที่การงานหรือเรื่องความก็เป็นได้นะ มาดู 5 เหตุผลที่คุณไม่ควรนอกดึก(เลย) กันดีกว่า สมองทำงานได้ไม่เต็มที่ “การอดนอน” จะสามารถส่งผลให้สมองของเราทำงานผิดพลาด ไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ หรือทำงานได้ช้าลง ประสิทธิภาพในการรับรู้ เรียนรู้ และ ความจำของเราก็จะแย่ลง หรือเกิดอาการที่เรียกกันว่า “เบลอ” นั่นแหละ ร่างกายอ่อนเพลีย การนอนก็เป็นเหมือนกับการสะสมพลังงานให้กับร่างกาย การที่เราอดนอนจะทำให้ร่ายกายของเราไม่ได้สำรองพลังงานไว้ใช้ ทำให้เราต้องฝืนใช้พลังงานที่มีไว้สำหรับการฟื้นฟูร่างกาย ซึ่งถ้าเราอดนอนเพียงระยะสั้น ๆ ก็อาจจะไม่เป็นอะไรมาก แต่ถ้าเราอดนอนติดต่อกันเป็นเวลานานก็จะส่งผลให้ร่างกายเราอ่อนแอลงจนป่วยได้เลยล่ะ อารมณ์ไม่ดีเสียง่าย การที่เรานอนไม่พอ หรืออดนอนจะมีแนวโน้มทำให้เรากลายเป็นคนอารมณ์แปรปรวน ซึ่งอารมณ์แปรปรวนในที่นี้ไม่ได้มีแค่อารมณ์โกรธเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความเครียด ความเศร้า และอารมณ์อื่น ๆ อีกด้วย เพรา

5 เหตุผลที่คุณควรกินอาหารเช้า

รูปภาพ
ใครๆก็รู้ว่าอาหารเช้าเป็นสิ่งสำคัญเพราะเราถูกบอกมาแบบนั้นตลอด แต่จะมีสักกี่คนที่จะรู้และเห็นถึงความสำคัญของการรับประทานอาหารเช้า และ 5เหตุผลที่คุณควรกินอาหารเช้าจะทำให้อาหารเช้าเป็นมื้อสำคัญที่คุณไม่ควรละเลย 1. ลดอาการเหนื่อยล้า อ่อนแรง ขณะนอนร่างกายนั้นยังต้องใช้พลังงานเช่นเดียวกัน ร่างกายจึงดึงพลังงานสำรอง ที่เรียกว่า  ไกลโคเจน (Glycogen) ตามกล้ามเนื้อและตับ มาใช้ตลอดทั้งคืน เพื่อช่วยคงระดับน้ำตาลในเลือดไม่ให้ต่ำจนเกินไปดังนั้นถ้าไม่ประประทานอาหารเช้า ร่างกายก็จะรู้สึก อ่อน แรง เพราะ พลังงานสำรองที่ถูกดึงไปจาก กล้ามเนื้อและ ตับ ไม่ได้ถูกชดเชยนั้นเอง 2. ควบคุมน้ำหนักได้ค่อนดี โดยมีทฤษฏีหนึ่งได้อธิบายเหตุสนับสนุนไว้ว่า การรับประทานอาหารเช้าช่วยทำให้ควบคุมความหิวได้ และมีแนวโน้มเลือกอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่า เพราะทุกคนจะรู้โดยอัตโนมัติว่ามื้อเช้านั้นไม่ควรกินอาหารที่หนักท้องและไม่มีประโยชน์คงไม่มีใครกินข้าวขาหมูแต่เช้า (และคงไม่มีร้านไหนเปิด) ถ้าคุณไม่ได้ประทานรับอาหารเช้า กว่าจะถึงเวลาเที่ยงคุณมีแนวโน้มที่จะหิวโซแน่นอนเมื่อใกล้ถึงอาหารมื้อถัดไป เลยมีโอกาสที

ริมฝีปากชุ่มชื้นด้วยตัวคุณเอง

รูปภาพ
     ใบหน้าเป็นสิ่งแรกที่ทุกคนต้องพบเห็น ใบหน้าช่วยสร้างเสน่ห์ให้กับคนเรา ทุกส่วนบนใบหน้าล้วนมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันในการสร้างเสน่ห์ รวมถึงริมฝีปากของเราด้วย ริมฝีปากมีลักษณะอ่อนนุ่มสามารถเคลื่อนไหวเพื่อทำหน้าที่ในการรับอาหารและใช้ในเปล่งเสียงเพื่อสื่อสารออกมาเป็นคำพูดนอกจากนั้นริมฝีปากของเรายังเป็นอวัยวะที่สามารถบ่งบอกถึงสุขภาพของร่างกายได้อีกด้วยนั่นคือริมฝีปากของผู้ที่มีสุขภาพดีจะมีริมฝีปากที่แลดูฉ่ำน้ำ เปล่งปลั่งและมีสีชมพูอ่อนจนถึงสีแดงคล้ำ โดยผู้ที่มีสีผิวเข้มจะมีริมฝีปากสีแดงคล้ำ ส่วนผู้ที่มีผิวขาวจะมีริมฝีปากสีชมพู       ซึ่งริมฝีปากเป็นผิวหนังแต่ไม่เหมือนผิวหนังส่วนอื่นๆ เนื่องจากริมฝีปากไม่มีต่อมน้ำมันที่จะทำให้ปากชุ่มชื้น เหมือนกับส่วนอื่นของร่างกายแต่น้ำลายจะสร้างความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปากนั้นเอง แต่ด้วยความที่ว่าริมฝีปากเราต้องสัมผัสกับสิ่งต่างๆตลอดเวลา ทั้งอากาศ อาหาร แสงแดด สายลม และสิ่งเหล่านี้เป็นตัวการทำให้ริมฝีปากเราเกิดความผิดปกติขึ้นเนื่องจากสิ่งเหล่านี้ส่งผลให้ต่อมน้ำลายหลั่งน้ำลายได้น้อยลง ผลก็คือปากแตกเป็นขุย หรือปากคล้ำเรามาดูกันดีกว่าว่าสาเหตุท

ออฟฟิศซินโดรม รักษาไม่หาย แต่แก้ได้ด้วยการ “ฝังเข็ม”

รูปภาพ
หนุ่มสาวออฟฟิศที่ต้องนั่งทำงานในท่าเดิมซ้ำๆ ต่อเนื่องนาน 6-8 ชั่วโมง ทุกๆ วัน หรือนานร่วมเดือนร่วมปี นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้กล้ามเนื้อทำงานมากเกินไป จนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยซ้ำๆ นานวันเข้า จนยากแก่การซ่อมแซม หรือที่เรียกว่า  โรคออฟฟิศซินโดรม (office syndrome) คุณเป็น โรคออฟฟิศซินโดรม แล้วหรือยัง?? ให้ลองสังเกตง่ายๆ ถ้าคุณไลฟ์สไตล์การทำงานแบบเดิมซ้ำๆ นานๆ แล้วเริ่มมีอาการปวดเรื้อรัง ไม่ว่าจะหลัง ไหล่ แขน ข้อมือ นิ้วมือ หรือส่วนที่คุณใช้งานหนักๆ นั่นแหละ จะขยับก็เจ็บ กดเบาๆ ก็เจ็บร้าวไปถึงบริเวณใกล้เคียง หรือบางคนอาจคลำพบกล้ามเนื้อแข็งเป็นแนว กินยาก็แค่บรรเทาความเจ็บร้าวนั้นไม่หายไป ถ้าเป็นแบบที่ว่ามา คุณกำลังเป็น โรคออฟฟิศซินโดรม หรือ ทางการแพทย์เรียกอีกอย่างว่า โรค Myofascial Pain Syndrome อาการปวดกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อพังผืด ยืดกล้ามเนื้อ โยคะ กายภาพบำบัด ช่วยได้ไหม?? อาจจะช่วยได้แต่ต้องใช้เวลานาน ต้องดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญ และที่สำคัญคุณอาจต้องพักงานเป็นเวลานาน เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ไม่ให้เกิดการตายของกล้ามเนื้อการรักษาบรรเทาจึงจะมีประสิทธิภาพ ส่วนยานั้นลืมไปได้เลย เพ

อยากลดน้ำหนักต้อง HIIT การออกกำลังกายสุดเวิร์ค

รูปภาพ
วิธีการออกกำลังกายแบบ HIIT          ในการออกกำลังกายแบบ HIIT จะประกอบด้วย การออกกำลังกายอย่างหนัก และการออกกำลังกายเบา ๆ สลับกัน โดยอัตราส่วนของการออกกำลังกายก็สามารถเลือกได้ตามใจชอบเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็น 1 : 2 (หนัก 15 วินาที เบา 30 วินาที) หรือ 1 : 3 (หนัก 15 วินาที : เบา 45 วินาที) แต่ถ้าเริ่มชินกับการออกกำลังกายแบบ HIIT แล้วก็อาจจะเปลี่ยนเป็น 1 : 1 (หนัก 30 วินาที เบา 30 วินาที) ก็ได้ หรือจะเป็นการออกกำลังกายโดยใช้น้ำหนักตัว อย่างเช่น วิดพื้น ซิทอัพ หรือ กระโดด สลับกับการพักก็ได้ค่ะ            การออกกำลังกายแบบ HIIT จะเริ่มด้วยการวอร์ม ซึ่งจะต้องวอร์มอย่างน้อย 5 นาที แล้วค่อยเลือกการออกกำลังกายตามตัวอย่างต่อไปนี้            ตัวอย่างการออกกำลังกายแบบอัตราส่วน            การวิ่ง 5 นาที            *  สูตร 1 : 2  คือ วิ่งเร็ว 15 วินาที สลับกับการวิ่งเหยาะ ๆ 30 วินาที ไปเรื่อย ๆ จนครบ 5 นาที            *  สูตร 1 : 3  คือ วิ่งเร็ว 15 วินาที สลับกับการวิ่งเหยาะ ๆ 45 วินาที ไปเรื่อย ๆ จนครบ 5 นาที            *  สูตร 1 : 1  คือ วิ่งเร็ว 30 วินาที สลับกับการวิ่งเหยาะ ๆ 30 วินาที ไปเ

“โรคเบาหวาน” ทานอะไรถึงจะดี? เมนูนี้ช่วยได้

รูปภาพ
หัวใจหลักของอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน คือ ร่างกายต้องการแค่ไหนก็ให้กินแค่นั้น เพราะยิ่งกินมากโอกาสที่น้ำตาลจะสูงก็มากขึ้นด้วย แต่การกินน้อยเกินไป ก็ไม่ใช่เรื่องดี เพราะอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำจนเป็นผลเสียกับร่างกายได้ อาหารต้องห้าม ของ "เบาหวาน" คือ น้ำตาลทุกชนิด ผลิตภัณฑ์จากนม ผลไม้แปรรูป ไม่ว่าจะประเภทบรรจุกระป๋อง กวน เชื่อม แช่อิ่ม รวมถึงอาหารที่ปรุงด้วยไขมันอิ่มตัว เช่น ไขมันสัตว์ ไส้กรอก หมูสามชั้น น้ำมันมะพร้าว แกงกะทิ ไขมันนม เนย ครีม อาหารทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้ ผักก้าน ผักใบ ผักใบเขียวทุกชนิด ดีต่อร่างกายและกินได้เรื่อยๆ ควรจัดสรรให้หลากหลายในแต่ละมื้อ เพราะผักมีแคลอรีต่ำ ใยอาหารสูง ทำให้การดูดซึมน้ำตาลช้าลง และซับน้ำตาลไม่ให้เข้าสู่กระแสเลือดเร็วเกินไป ร่างกายจึงมีเวลาดึงน้ำตาลไปใช้ได้แบบพอดี แนะนำว่าจะให้ดีประโยชน์ครบต้องผักสด หรือ ชอบแบบต้มก็ได้ แต่อย่ากินแบบปั่นเชียวเพราะ ไม่มีกากใยที่ผู้ป่วยเบาหวานต้องการ มีข้อกำหนดจากองค์การอนามัยโลกด้วยว่า ไม่ว่าใครก็ตาม ควรกินผักผลไม้ ประมาณ 400 กรัม/วัน ถ้าเป็นแบบต้มก็คูณสอง

“ทำเลสิก” ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด

รูปภาพ
ใครที่สายตาสั้นรู้สึกว่าโลกนี้มันช่าง เบลอ!! แล้วอยากเปลี่ยนโลกเบลอๆ ให้สดใสด้วยการทำเลสิก หรือการผ่าตัดแก้ไขภาวะสายตาผิดปกติโดยการใช้เลเซอร์ แต่ยังติดกับบางข้อสงสัยน่ากลัวๆ ที่ได้ยินต่อๆ กันมาวันนี้ Healthy is a Trend จะไขคำตอบให้เอง Q1 : เลสิกแก้ไขปัญหาเฉพาะสายตาสั้น? A1 : ความจริงแล้วเลสิกช่วยได้มากกว่านั้น ครบทั้งสายตาสั้น สายตายาว และสายตาเอียงเลยค่ะ Q2 : เลสิกทำให้ตาบอดได้!! A2 : ยังไม่เคยมีรายงานว่ามีใครตาบอดจากการทำเลสิกค่ะ แต่แน่นอนว่าทุกการรักษามีความเสี่ยง หรือมีผลข้างเคียงบ้าง ซึ่งก่อนทำแพทย์จะให้อธิบายรายละเอียดอย่างชัดเจนให้คุณพิจารณาก่อนค่ะ Q3 : เลเซอร์สามารถเผาไหม้ดวงตาได้! A3 : หูยยย ข้อนี้แรง! แต่ความจริงแล้วเลเซอร์ที่ใช้ในการผ่าตัดตาทุกชนิด รวมทั้งเลสิกเป็นเลเซอร์เย็น ซึ่งไม่ทำให้เกิดการเผาไหม้ต่อดวงตานะจ๊ะ Q4 : ราคาที่ต่างไม่มีผลกับการทำเลสิก ราคาไหนก็เหมือนกัน? A4 :  ดวงตาของเรามีคู่เดียวพลาดแล้วอาจแก้ไขไม่ได้นะคะ อยากให้ทุกคนหาข้อมูลให้ดีก่อน เพราะบางศูนย์เลสิกที่ราคาต่ำกว่ามาตรฐาน อาจลดค่าใช้จ่ายในการตรวจเริ่มต้น การดูแลก่อนและหลังผ่า