บทความ

5 วิตามินและอาหารเสริมสุดฮิต ต้องกินแบบไหน ถึงจะได้คุณค่าครบ!!

รูปภาพ
วิตามินซี (Vitamin C) เวลา : แนะนำให้ ทานพร้อมมื้ออาหาร 2 เวลา เช้า-เย็น เพื่อประสิทธิภาพการดูดซึมสูงสุด ปริมาณ : วันละประมาณ 1,000-2,000 มิลลิกรัม แบ่งรับประทานครั้งละไม่เกิน 500 มก. ร่างกายถึงจะดูดซึมได้ดีที่สุด เช่น แบ่งทานครั้งละ 1 เม็ด (500มก.) จะ 2 เวลา หรือ 4 เวลาก็ได้ เพื่อให้วิตามินซีส่วนเกินไม่สะสมตกค้างในร่างกาย วิตามินอี (Vitamin E) เวลา : วิตามิน E ละลายในไขมัน ควรทานพร้อมอาหาร กลางวัน หรือมื้ออื่นที่เป็นมื้อใหญ่ ทานวันวันละครั้งก็พอ ปริมาณ : วันละประมาณ 200 - 1,200 IU สำหรับในหญิงที่รับประทานยาคุมกำเนิด และหญิงที่ตั้งครรภ์ควรได้รับวิตามินอีเสริม และในหญิงที่เข้าสู่วัยทองควรรับประทาน วิตามินอี ให้มากขึ้น โดยหากอายุน้อยกว่า 40 ปี ควรรับประทานอยู่ที่ 400 IU ต่อวัน แต่หากมีอายุมากกว่า 40 ปี ควรรับประทานอยู่ที่ 800 IU ต่อวัน และควรเป็นแบบเม็ดถึงจะได้ประสิทธิภาพที่ดี วิตามินดี (Vitamin D) เวลา : ชื่อก็บอกว่าดี ของฟรีไม่ต้องซื้อ ไปรับได้เลยตอนเช้าแดดอ่อนๆ ในแต่ละวัน ให้ผิวหนังได้โดนแสงแดดอ่อนๆ ในช่วงเช้า 08.00-10.30 หรือ ในช่วงบ่าย 16.00-18.00 น. และไม่จำเป็

อยากลดน้ำหนักต้อง HIIT การออกกำลังกายสุดเวิร์ค

รูปภาพ
วิธีการออกกำลังกายแบบ HIIT          ในการออกกำลังกายแบบ HIIT จะประกอบด้วย การออกกำลังกายอย่างหนัก และการออกกำลังกายเบา ๆ สลับกัน โดยอัตราส่วนของการออกกำลังกายก็สามารถเลือกได้ตามใจชอบเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็น 1 : 2 (หนัก 15 วินาที เบา 30 วินาที) หรือ 1 : 3 (หนัก 15 วินาที : เบา 45 วินาที) แต่ถ้าเริ่มชินกับการออกกำลังกายแบบ HIIT แล้วก็อาจจะเปลี่ยนเป็น 1 : 1 (หนัก 30 วินาที เบา 30 วินาที) ก็ได้ หรือจะเป็นการออกกำลังกายโดยใช้น้ำหนักตัว อย่างเช่น วิดพื้น ซิทอัพ หรือ กระโดด สลับกับการพักก็ได้ค่ะ            การออกกำลังกายแบบ HIIT จะเริ่มด้วยการวอร์ม ซึ่งจะต้องวอร์มอย่างน้อย 5 นาที แล้วค่อยเลือกการออกกำลังกายตามตัวอย่างต่อไปนี้            ตัวอย่างการออกกำลังกายแบบอัตราส่วน            การวิ่ง 5 นาที            *  สูตร 1 : 2  คือ วิ่งเร็ว 15 วินาที สลับกับการวิ่งเหยาะ ๆ 30 วินาที ไปเรื่อย ๆ จนครบ 5 นาที            *  สูตร 1 : 3  คือ วิ่งเร็ว 15 วินาที สลับกับการวิ่งเหยาะ ๆ 45 วินาที ไปเรื่อย ๆ จนครบ 5 นาที            *  สูตร 1 : 1  คือ วิ่งเร็ว 30 วินาที สลับกับการวิ่งเหยาะ ๆ 30 วินาที ไปเ

“โรคเบาหวาน” ทานอะไรถึงจะดี? เมนูนี้ช่วยได้

รูปภาพ
หัวใจหลักของอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน คือ ร่างกายต้องการแค่ไหนก็ให้กินแค่นั้น เพราะยิ่งกินมากโอกาสที่น้ำตาลจะสูงก็มากขึ้นด้วย แต่การกินน้อยเกินไป ก็ไม่ใช่เรื่องดี เพราะอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำจนเป็นผลเสียกับร่างกายได้ อาหารต้องห้าม ของ "เบาหวาน" คือ น้ำตาลทุกชนิด ผลิตภัณฑ์จากนม ผลไม้แปรรูป ไม่ว่าจะประเภทบรรจุกระป๋อง กวน เชื่อม แช่อิ่ม รวมถึงอาหารที่ปรุงด้วยไขมันอิ่มตัว เช่น ไขมันสัตว์ ไส้กรอก หมูสามชั้น น้ำมันมะพร้าว แกงกะทิ ไขมันนม เนย ครีม อาหารทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้ ผักก้าน ผักใบ ผักใบเขียวทุกชนิด ดีต่อร่างกายและกินได้เรื่อยๆ ควรจัดสรรให้หลากหลายในแต่ละมื้อ เพราะผักมีแคลอรีต่ำ ใยอาหารสูง ทำให้การดูดซึมน้ำตาลช้าลง และซับน้ำตาลไม่ให้เข้าสู่กระแสเลือดเร็วเกินไป ร่างกายจึงมีเวลาดึงน้ำตาลไปใช้ได้แบบพอดี แนะนำว่าจะให้ดีประโยชน์ครบต้องผักสด หรือ ชอบแบบต้มก็ได้ แต่อย่ากินแบบปั่นเชียวเพราะ ไม่มีกากใยที่ผู้ป่วยเบาหวานต้องการ มีข้อกำหนดจากองค์การอนามัยโลกด้วยว่า ไม่ว่าใครก็ตาม ควรกินผักผลไม้ ประมาณ 400 กรัม/วัน ถ้าเป็นแบบต้มก็คูณสอง

พรมมิ (Brahmi) สมุนไพรมาแรง บำรุงสมองป้องกันอัลไซเมอร์

รูปภาพ
โรคอัลไซเมอร์ ไม่ใช่ โรคสมองเสื่อม แต่โรคอัลไซเมอร์เป็นสาเหตุหนึ่งของโรคสมองเสื่อมค่ะ ซึ่งเรามักจะพบเห็นในผู้สูงอายุมากกว่าวัยอื่น โรคนี้รักษาได้โดยยาและการดูแลบำบัด การรักษาด้วยยาจะใช้กับผู้ป่วยระยะกลางถึงระยะรุนแรง ส่วนการรักษาโดยไม่ใช้ยา จะเน้นไปที่การฝึกปฏิบัติให้ผู้ป่วย ได้ฝึกสมอง ฝึกทักษะการจำ หรือเกมที่ต้องใช้ความคิด แต่กว่าจะถึงวันนั้น เราสามารถดูแลคนในครอบครัวให้ห่างไกล โรคอัลไซเมอร์ หรือ เข้าใกล้โรคนี้ให้น้อยและช้าที่สุด…นอกจากอาหารที่คุ้นเคยกันดี เช่น แปะก๊วย น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปลา วันนี้เราจะพาไปรู้จักกับอีกหนึ่งสมุนไพรมาแรง  “พรมมิ (Brahmi)”  ที่จะช่วยบำรุงสมอง ให้ห่างไกลจากอัลไซเมอร์ได้แบบขั้นเทพ! พรมมิ หรือ ผักมิ  สมุนไพรไทย พืชล้มลุกที่ขึ้นตามริมตลิ่ง ลวกกินจิ้มน้ำพริกได้ มีบันทึกทางประวัติศาสตร์ว่าพบในประเทศไทยตั้งแต่อยุธยา เพราะมีหลักฐานการใช้พรมมิในตำราโอสถพระนารายณ์ ว่ามีสรรพคุณทางยาอื่นๆ หลายด้าน เช่น เป็นยาเย็น มีฤทธิ์ทำให้สงบ ลดอาการผิดปกติทางสมอง เสริมสร้างการทำงานของสมอง ในทางการแพทย์แผนไทย พรมมิทั้งต้นมีรสเย็นหวาน ขับปัสสาวะ ขับพยาธิ ขับเสมหะ แก้หอบหืด

“ทำเลสิก” ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด

รูปภาพ
ใครที่สายตาสั้นรู้สึกว่าโลกนี้มันช่าง เบลอ!! แล้วอยากเปลี่ยนโลกเบลอๆ ให้สดใสด้วยการทำเลสิก หรือการผ่าตัดแก้ไขภาวะสายตาผิดปกติโดยการใช้เลเซอร์ แต่ยังติดกับบางข้อสงสัยน่ากลัวๆ ที่ได้ยินต่อๆ กันมาวันนี้ Healthy is a Trend จะไขคำตอบให้เอง Q1 : เลสิกแก้ไขปัญหาเฉพาะสายตาสั้น? A1 : ความจริงแล้วเลสิกช่วยได้มากกว่านั้น ครบทั้งสายตาสั้น สายตายาว และสายตาเอียงเลยค่ะ Q2 : เลสิกทำให้ตาบอดได้!! A2 : ยังไม่เคยมีรายงานว่ามีใครตาบอดจากการทำเลสิกค่ะ แต่แน่นอนว่าทุกการรักษามีความเสี่ยง หรือมีผลข้างเคียงบ้าง ซึ่งก่อนทำแพทย์จะให้อธิบายรายละเอียดอย่างชัดเจนให้คุณพิจารณาก่อนค่ะ Q3 : เลเซอร์สามารถเผาไหม้ดวงตาได้! A3 : หูยยย ข้อนี้แรง! แต่ความจริงแล้วเลเซอร์ที่ใช้ในการผ่าตัดตาทุกชนิด รวมทั้งเลสิกเป็นเลเซอร์เย็น ซึ่งไม่ทำให้เกิดการเผาไหม้ต่อดวงตานะจ๊ะ Q4 : ราคาที่ต่างไม่มีผลกับการทำเลสิก ราคาไหนก็เหมือนกัน? A4 :  ดวงตาของเรามีคู่เดียวพลาดแล้วอาจแก้ไขไม่ได้นะคะ อยากให้ทุกคนหาข้อมูลให้ดีก่อน เพราะบางศูนย์เลสิกที่ราคาต่ำกว่ามาตรฐาน อาจลดค่าใช้จ่ายในการตรวจเริ่มต้น การดูแลก่อนและหลังผ่า

อ้วนไหม? ถ้าไม่แน่ใจ ต้องเช็ก!

รูปภาพ
แล้วก็ถ้าอ้วนต้องทำยังไง?  ต้องใส่ใจและระวังสุขภาพให้มากขึ้น เพราะ 8 อาการน่ากลัวที่แฝงตัวมากับความอ้วน กำลังจะรุกรานและทำให้ชีวิตของคุณต้องสั่นสะท้านไปถึงโรงพยาบาลแน่นอน ก่อนอื่น…ไปเช็กกันก่อน ว่าคุณ  “อ้วน พอ  แล้ว หรือ ยัง?” แม้ว่าคุณจะมีอาการเหมือน  “คนอ้วน”  ที่เราเห็นตามทีวีหรือสื่อต่างๆ เช่น กินจุเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม น้ำหนักพุ่งพรวด ลงพุง แขนใหญ่ ขาเบียด และเริ่มนอนกรน นั่นอาจไม่ได้แปลว่า  “คุณเป็นโรคอ้วน”  เสมอไป ต้องวัดค่าดัชนีมวลกายและปริมาณไขมันสะสมในร่างกายร่วมด้วย  ถ้าหากได้ค่าเกินมาตรฐาน ก็หมายความได้ว่า คุณกำลังเข้าข่ายเป็นโรคอ้วน และอาการแทรกซ้อนที่ไม่น่าไว้วางใจเหล่านี้ <โหลดแอปพลิเคชั่น MTL SIX PACKS คำนวณดัชนีมวลกาย •ไขมันพอกตับ   ถ้าคุณกินเยอะ ไม่เผาผลาญจนมีไขมันมากเกินไป ตับจะนำมาใช้ไม่ทันและสะสมพอกพูนอยู่นั้น สาเหตุของภาวะตับวายและมะเร็งตับ •ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ  ปัญหาส่วนใหญ่ของคนอ้วน คือ นอนกรน นั่นก็เพราะมีไขมันสะสมในผนังลำคอมาก ช่องลำคอจึงแคบลง หายไม่สะดวกเสี่ยงต่อการหยุดหายใจขณะหลับ •โรคหัวใจและหลอดเลือด  เมื่อคุณอ้วน ระดับไขมันสะสมในร่างกายก็จะสูง

ไหน?? คนแถวนี้ใครนอนกรนบ้าง??

รูปภาพ
“นอนกรน”  ไม่ใช่แค่เรื่องตลกและน่าอาย แต่  อันตรายถึงชีวิต  เลยนะคะ เพราะเป็นสาเหตุสำคัญของ “โรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (obstructive sleep apnea)” โรคนี้เกิดจากการที่ระบบหายใจส่วนบนถูกอุดกั้น ทำให้ไม่มีลมหายใจผ่านเข้าออก ซึ่งโอกาสการเกิดนั้นมีได้มากกว่า 100 ครั้งในแต่ละคืน!! ถามว่าเอ๊ะ!! ทำไมร่างกายเราถึงมีเสียง “กรน” นั่นก็เพราะ เมื่อกล้ามเนื้อคอคลายตัวขณะหลับจนทำให้ช่องคอแคบลง เราจึงพยายามหายใจเข้าออกแรงขึ้นเรื่อยๆ ผ่านช่องแคบนั้นจนเป็นเสียงดัง และหากมีการอุดกั้นจนช่องคอแคบมากขึ้น ก็อาจทำให้ถึงกับหยุดหายใจได้เลย!! “โรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น”  มักพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ผู้ชายประมาณ 4% และผู้หญิงประมาณ 2% คาดว่าเพราะผู้หญิงนั้นมีฮอร์โมนเอสโตรเจน แต่พอถึงวัยหมดประจำเดือนแล้ว โอกาสเกิดโรคนี้ทั้งผู้หญิงและผู้ชายก็กลับมาเท่ากัน ที่น่าเป็นห่วงคือ โรคนี้เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคร้ายตามมา เช่น โรคความดันโลหิตสูง, โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน, โรคหัวใจวาย, โรคเส้นเลือดสมองอุดตันหรือแตก, โรคซึมเศร้า, โรคกรดไหลย้อน หรือแม้แต่โรคเสื่อมสรรถภาพทางเพศ อยากเลิกนอนกรน ทำยังไง